รู้จัก Functional Training กันหน่อย
สวัสดีคนรักสุขภาพและรักการออกกำลังกายทุกคนค่ะวันนี้จะมาพูดถึงเรื่อง functional training ให้ฟังกันค่ะ หลายคนอาจสงสัยเกี่ยวกับการออกกำลังกายแบบนี้ค่ะ แต่หลายคนก็คงชอบพอๆกันค่ะ เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ได้ฝึกทั้งกล้ามเนื้อและระบบประสาทเพื่อให้ทำงานประสานกันได้ดียิ่งขึ้น ไปดูกันค่ะว่าน่าสนใจยังไง
Functional Training หรือการฝึกเพื่อเน้นการนำไปใช้งานนั้นช่วยพัฒนาเรื่องความแข็งแรง ความมั่นคง พละกำลัง การเคลื่อนไหว ความอึด และความยืดหยุ่น ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ และเล่นกีฬา รูปแบบการเคลื่อนไหวในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำกันทุกวันก็เช่น การดัน ดึง พับ สควอต หมุน แบก เดิน และวิ่ง การฝึกแบบ Functional Training จะใช้ท่าออกกำลังที่ช่วยให้เคลื่อนไหวในท่วงท่าพื้นฐานเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้คุณมีข้อได้เปรียบและเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกาย ตลอดจนบรรลุเป้าหมายที่ต้องการอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดี
ประโยชน์และความสำคัญ
การฝึก Functional Training ถ้าทำอย่างถูกต้องจะช่วยพัฒนาเรื่องการเคลื่อนไหวและความมั่นคงของข้อต่อ รวมถึงพัฒนารูปแบบการเคลื่อนไหวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งหมดนี้จะช่วยลดโอกาสบาดเจ็บในระหว่างเล่นกีฬา นอกจากนี้ผู้ฝึกยังได้ประโยชน์จากการฝึกที่เน้นความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนไหวอย่างอิสระใน 6 รูปแบบ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ถึงแม้การใช้เครื่องเล่นเวตจะปลอดภัยกว่า แต่การเคลื่อนไหวจะถูกจำกัดให้อยู่ในระนาบเดียว ซึ่งไม่ใช่การเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติของร่างกาย และอาจนำไปสู่รูปแบบการเคลื่อนไหวที่ผิดรวมถึงการบาดเจ็บอีกด้วย
Functional Training คือการฝึกกล้ามเนื้อและประสาท
มนุษย์เรามีช่วงการเคลื่อนไหวที่กว้างขวางเมื่อปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ เช่น เดิน จ็อกกิ้ง วิ่ง สปรินต์ กระโดด ยก ดัน ดึง งอ บิด หัน ยืน ออกตัว หยุด ปีนป่าย และก้าวท่า Lunge ท่วงท่าทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลเป็นจังหวะในระนาบการเคลื่อนที่ทั้งสาม ได้แก่ ระนาบข้าง ระนาบหน้า–หลัง และระนาบขวาง
การเทรนเพื่อพัฒนาความแข็งแรงของร่างกายเพื่อการใช้งานจริงไม่ใช่แค่การพัฒนาความสามารถของกล้ามเนื้อหรือกลุ่มกล้ามเนื้อให้ออกแรงได้มากขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการฝึกเพื่อให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานสอดประสานกันได้ดีขึ้น เป้าหมายหลักของ Functional Training คือการนำพัฒนาการด้านความแข็งแรงไปแปลงเป็นการเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกายโดยอาศัยระบบประสาทร่วมกับกล้ามเนื้อทั้งหมด
เหมาะสำหรับทุกคน
การฝึกแนวนี้เหมาะกับเยาวชน ผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ฝึกในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือนักกีฬาที่เก่งกาจก็ตามFunctional Training เริ่มจากการเลือกท่าฝึกการเคลื่อนไหวที่ดีและการพัฒนาทักษะ เมื่อผู้ฝึกทำได้สำเร็จให้ค่อยๆ เพิ่มท่าฝึกที่ต้องเคลื่อนไหวซับซ้อนมากขึ้น ความหนักในการออกกำลัง และระยะเวลาเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกายอย่างปลอดภัย การเคลื่อนไหวท่าซับซ้อนให้ชำนาญต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและความพากเพียร ลำพังแค่การควบคุมร่างกายให้ได้ดีก็อาจต้องฝึกกันนานหลายเดือนหรือเป็นปีเลยทีเดียว แต่การฝึกเช่นนี้จะทำให้ระบบกล้ามเนื้อทั้งหมดแข็งแรงขึ้น รวมถึงข้อต่อต่างๆ ด้วย ที่สำคัญคือไขมันในร่างกายจะลดลง ทั้งหมดนี้เป็นผลพลอยได้จากการฝึกFunctional Training ที่คุณจะได้รับแน่ๆ
บทความโดย ฟาน ศรีไตรรัตน์
Functional Training คือ อะไร
คือ การออกกำลังกายเพื่อการทำกิจวัตรในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นหรือการเล่นกีฬา และช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเป็นการฝึกการทำงานให้ประสานกันของกล้ามเนื้อหลายส่วนอย่างเหมาะสม พูดไปอาจจะยังงงๆ ไม่ค่อยเห็นภาพ แต่เคยเป็นไหมคะ เวลาเอื้อมมือไปหยิบของแบบสุดตัว แล้วเส้นยึด ว่ายน้ำอยู่ดีๆ เป็นตะคริวอะไรแบบนี้ Functional Training นี่แหละค่ะที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อของทำงานสัมพันธ์กัน แข็งแรง และยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งยังลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บอีกด้วย ซึ่งเราแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ
1. Cardiorespiratory endurance หรือ Aerobic exercise เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน เป็นต้น
2. Muscular strength และ Endurance เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานให้กล้ามเนื้อ(คลิกที่ภาพได้เลยมีลิ้งค์ค่ะ)
3. Flexibility เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายให้เหมาะสม body composition การลดน้ำหนักหรือควบคุมปริมาณของกล้ามเนื้อ และไขมันในร่างกายให้เหมาะสม
1. Cardiorespiratory endurance หรือ Aerobic exercise เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน เป็นต้น
2. Muscular strength และ Endurance เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานให้กล้ามเนื้อ(คลิกที่ภาพได้เลยมีลิ้งค์ค่ะ)
3. Flexibility เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายให้เหมาะสม body composition การลดน้ำหนักหรือควบคุมปริมาณของกล้ามเนื้อ และไขมันในร่างกายให้เหมาะสม
ลักษณะการฝึก
functional training นี้สามารถฝึกได้โดยการทำท่า squat (คล้ายลุกนั่ง) หรือ leg lunge (ก้าวเท้าไปข้างหน้า) โดยถือ dumbbells และทำท่า biceps curl ไปพร้อมๆ กัน ก็จะเป็นการฝึกเพิ่มความแข็งแรงในกลุ่มของกล้ามเนื้อทั้งหมดที่กล่าวมา รวมถึงฝึกการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อย่างเหมาะสม และฝึกการทรงตัวด้วยในขณะเดียวกัน นอกจากนี้การฝึกท่า squat ก็มีส่วนช่วยในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้อีก เช่น การลุกหรือนั่งบนเก้าอี้ หรือแม้แต่การเข้าห้องน้ำ ส่วนการทำท่า leg lunge ไปบน step ก็จะมีส่วนช่วยในการเดินขึ้น-ลงบันไดได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย (โดยเฉพาะในคนสูงอายุ) เป็นต้น
ความแตกต่าง
ลักษณะพิเศษของการฝึกบริหารร่างกายแบบ functional training นี้จะไม่จำกัดอยู่ในทิศทางเดียวเหมือนการใช้เครื่อง แต่สามารถฝึกในทิศทางที่เราต้องการโดยใช้กล้ามเนื้อหลายๆ มัดในเวลาเดียวกัน และสามารถฝึกโดยเลียนแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแข็งแรงขึ้นได้เลย โดยส่วนมากแล้วจะเน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงลำตัว (core muscles) เป็นหลัก ได้แก่ กล้ามเนื้อหน้าท้อง (rectus abdominis) กล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว (obliques) และกล้ามเนื้อหลัง (back muscles) ทั้งหมด เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ รวมถึงการเล่นกีฬาด้วย
credit : https://daily.rabbit.co.th
credit : ภาพสวยๆจาก Personal trainer คุณบอย สนใจติดต่อได้เลยค่ะ https://www.facebook.com/boy.jenjaruwong หรือโทร 086-9554099
credit :http://www.mhthailand.com/
credit : ขอบคุณยิมสวยๆอย่าง Factory fit ที่มีสถานที่ออกกำลังกายสวยๆและเป็นสถานที่ที่เหล่าคนรักสุขภาพทั้งหลายต้องห้ามพลาดค่ะ สนใจติดต่อหรือสอบถาม คลิ้กเลย!! https://www.facebook.com/panott17/?fref=ts
Comments
Post a Comment